กรณีที่บริษัททำประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษษพยาบาลให้แก่ลูกจ้าง โดยกำหนดวงเงินประกั 100,000 บาทนั้น ต่อมาการรักษาพยาบาลของลูกจ้างเกินกว่าวงเงินประกัน ลูกจ้างจึงนำส่วนที่เกินมาเบิกกับนายจ้าง ถามว่า เงินส่วนเกินนั้น บริษัทสามารถหักเป็นรายจ่ายได้หรือไม่

เงินค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินจากที่บริษัทประกันชีวิตได้จ่ายไว้แล้ว หากพนักงานนำมาเบิกค่ารักาษพยาบาลจากบริษัทอีก บริษัทมีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายได้ ไม่ต้องห้าม (หนังสือตอบข้อหารือกรมสรรพากรที่ กค 0802/3206 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2539) แต่บริษัทต้องทำระเบียบสวัสดิการไว้

กรณีที่บริษัทจัดทำระเบียบสวัสดิการไว้ แต่บริษัทจ่ายเกินวงเงินที่ระบุไว้ในระเบียบสวัสดิการ รายจ่ายส่วนเกินดังกล่าว นำมาหักเป็นรายจ่ายได้หรือไม่

กรณีที่บริษัทมีระเบียบสวัสดิการระบุไว้ แต่บริษัทจ่ายกินวงเงิน รายจ่ายส่วนเกินดังกล่าว ถือเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการส่วนตัว และมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ บริษัท จึงไม่มีสิทธินำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (3) และ (13) แห่งประมวลรัษฎากร แต่พนักงานได้รับเงินค่าช่วยรักษาพยาบาล พนักงานได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(17) แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบกับข้อ 2(4)(ก) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126(พ.ศ. 2509) (หนังสือตอบข้อหารือกรมสรรพากรที่ กค 0706/10504 ลงวันที่ 16 ธันวาคม 2548)

แล้ว "กลยุทธ์การวางแผนภาษี ค่ารักษษพยาบาลลูกจ้าง" ล่ะ

กลยุทธ์การวางแผนภาษ๊ ค่ารักาษพยาบาลลูกจ้าง
1. จัดทำระเบียบสวัสดิการเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลลูกจ้าง ให้สอดคล้องกับกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ข้อ2(4)
2. ลูกจ้างต้องมีใบเสร็จรับเงินค่ารักษาพยาบาลมาแสดง
3. นายจ้างไม่ควรมีการระบุวงเงินช่วยค่ารักษาพยาบาลไว้ในระเบียบสวัสดิการ
4. ถ้ามีการระบุวงเงิน แต่นายจ้างจ่ายเกินวงเงินที่ระบุไว้ ส่วนเกินวงเงินถือเป็นรายจ่ายต้องห้าม
5. นายจ้างทำประกันสุขภาพคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลแก่ลูกจ้าง และนายจ้างต้องการช่วยเหลือเงินค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินจากที่บริษัทประกันชีวิตได้จ่ายไว้ บริาัทต้องระบุไว้ในระเบียบสวัสดิการด้วย